หน้าเว็บ

วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

มรณานุสติ


       ผมคิดว่าหลายๆท่านคงไม่ได้อยากที่จะได้ยินคำว่า มรณาหรือตาย เวลาที่เปล่งออกมาเหมือนกับว่าเรากำลังแช่งชักหักกระดูกตนเอง แต่ในความเป็นจริงแล้วชีวิตของเราอยู่ใกล้กับความตายอยู่ทุกขณะ เพียงแต่ว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้น แล้วเหตุอันใดเล่าที่เราจะไม่นำมาเตือนสติตนเองให้เรู้จักทำความดี ทำสิ่งที่อยากทำ ทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด บอกรักกับคนที่เรารัก หรือสิ่งอื่นๆที่เราทำแล้วมีความสุข ทำแล้วเกิดประโยชน์ต่อเพื่อนร่วมโลกของเรา เพราะอันที่จริงแล้วการเจริญมรณสติคือการที่เราไม่ประมาทกับชีวิต เพราะเราไม่สามารถบอกได้ว่าใครๆที่อยู่รอบข้างของเรา หรือแม้แต่ตัวเราจะมีเวลาเท่าไหร่บนโลกนี้ มีแต่สิ่งที่เราทำหรือความดีที่เราทำนั่นคือสิ่งที่จะประดับไว้บนโลกนี้ ส่วนตัวของเราก็จะกลับสู่ธรรมชาติที่ได้ให้กำเนิดเรามา หลายท่านคงรู้จัก สตีฟ จอบส์ พ่อมดแห่งวงการคอมพิวเตอร์ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วได้กล่าวว่า
ถ้าเราสามารถใช้เวลาว่าวันนี้คือวันสุดท้ายของชีวิต วันหนึ่งคุณจะสมหวังในสิ่งที่เราปราถนา เมื่อตื่นเช้ามามองกระจก ก็จงถามกับตนเองดูเสียว่า ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายในชีวิต เราอยากที่จะทำอะไร และวันนี้เราจะทำอะไร ถ้าหากว่าเราได้คำตอบว่า ไม่อยากที่จะทำอะไรเลยหลายวันติดต่อกัน เราต้องคิดว่าถึงเวลาแล้วหรือไม่ที่เราจะต้องเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างในชีวิต
นี่คือสิ่งที่พ่อมดแห่งวงการคอมพิวเตอร์ได้คิดไตร่ตรองอยู่ทุกวัน จนถึงทุกวันนี้ชื่อของเขาได้ประทับอยู่บนทุกอณูของวงการคอมพิวเตอร์ แล้วจะไม่หันกลับมามองหรือเจริญมรณสติดูบ้างหรือ เพราะนี่ไม่ใช่การแช่งตนเอง แต่สิ่งนี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ค้นพบสิ่งที่เราหามาทั้งชีวิตก็ได้ครับ สมดังคำที่ว่าความตายสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิต............


การคิดบวก


     ในกระบวนการคิดเวลาเราพบปัญหาหรือความยุ่งยากและสับสน เรามักมีคำๆหนึ่งเกิดขึ้นมานั่นคือการคิดบวก คิดบวก และคิดบวก เพื่อให้ชีวิตของเราสามารถผ่านช่วงวิกฤติในชีวิตนี้ให้ได้ แต่แท้จริงแล้วการคิดบวกคืออะไรกันแน่ การคิดที่เรียกว่าคิดบวกที่เราคิดอยู่ทุกวันนี้ถูกต้องหรือไม่ แนวคิดในการคิดบวกผมได้บทความของท่านว.วชิรเมธี ในเรื่องการคิดบวก ท่านให้แง่คิดการคิดบวกไว้ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 เป็นการมองสิ่งต่างๆตามความเป็นจริง แล้วพยายามแก้ปัญหาบนพื้นฐานของความเป็นจริงให้ได้อย่างถึงที่สุดก่อน แต่ถ้าพยายามทุกวิธีแล้วยังไม่สมารถแก้ปัญหาได้เลย ก็ต้องมาสู่ขั้นที่ 2 นั่นคือเริ่มใช้การคิดบวกกับเหตุการณ์ข้างหน้า
ขั้นตอนที่ 2 เมื่อพยายามแก้ปัญหาตามความเป็นจริงจนสุดความสามารถแล้ว แต่พบว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้านั้นใหญ่เกินกว่าที่จะแก้อะไรได้ แทนที่เรายอมจำนน หรือยอมรับสภาพต่อสิ่งที่เกิดขึ้นแบบหมดอาลัยตายอยาก เราควรที่จะลุกขึ้น และปรับวิธีคิด และมุมมอง
ใหม่ของเรา เพื่อที่จะเผชิญความจริงอย่างสร้างสรรค์ ง่ายๆก็คือ หาวิธีเผชิญปัญหาเดิมๆ ด้วยวิธีการในการรับมือแบบใหม่ ด้วยมุมมองใหม่ ด้วยท่าทีใหม่
     นั่นคือการคิดบวกจึงไม่ใช่ว่าเจอปัญหาอะไรมาก็คิดบวกเสียไปทุกอย่าง แต่ที่ถูกต้องต้องทำทั้งสองขั้นตอนนี้ให้ครบถ้วนเสียก่อน โดยสิ่งสำคัญที่สุดคือต้องมีปัญญาเป็นตัวกำกับในการแก้ปัญหา ท่านว.วชิรเมธีได้ยกตัวอย่างการคิดบวกแบบสิ้นคิดคือมิได้ใช้ปัญญากำกับในการแก้ปัญหา เช่นเมื่อเจอน้ำท่วมก็คิดว่าดีแล้วได้ฝึกอยู่กับน้ำ เจอคำด่าก็ดีแล้วที่ได้ฝึกความอดทน อย่างนี้ท่านเรียกว่าสิ้นคิด
     เมื่อมีตัวอย่างแบบสิ้นคิด ก็ต้องมีแบบการใช้ปัญญา หลายท่านคงรู้จักโทมัส อัลวา เอดิสันน่ะครับ ท่านบอกไว้ว่า ข้าพเจ้าไม่เคยคิดว่าตัวเองล้มเหลว แต่ข้าพเจ้าคิดว่าข้าพเจ้ากำลังเรียนรู้ทุกๆครั้งจากความล้มเหลว หรือจากการที่สตีฟ จ๊อบส์ ถูกไล่ออกจากแอปเปิล เค้าก็คิดว่าการที่ถูกไล่ออกครั้งนี้ คือการได้เริ่มต้นใหม่ เป็นคนใหม่ เป็นมือใหม่ในการที่จะพัฒนาสิ่งต่างๆได้อย่างสร้างสรรค์มากขึ้นเป็นต้น
     ดังนั้นการคิดบวกจึงมิใช่การยอมจำนน แต่เป็นการอยู่กับความเป็นจริง และใช้ปัญญาในการคิดเพื่อนำไปสู่หนทางที่ดีกว่าครับ