หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ถูกต้อง ค้องถูกทั้งกาย...และใจ

  เมื่อเอ่ยถึงคำว่า ถูกต้อง นั่นคือชอบแล้ว ดีแล้ว แต่เมื่อวิเคราะห์กันจริงๆ คำว่าถูกต้องนั้น ต้องแยกออกจากระหว่าง กาย และจิต
กาย :  คือถูกต้องแล้ว เราดีขึ้นหรือไม่ สุขภาพ ร่างกายเราแข็งแรงดีหรือไม่ เราดำรงชีวิตด้วยความพอเพียงหรือไม่ หรือเรายังวิ่งตามวัตถุต่างๆ ที่เข้ามาหาเราไม่ซ้ำกันในแต่ละวัน และอื่นๆ นี่คือความถูกต้องทางกาย
ใจ คือใจที่มีศีล (การกระทำที่ดี) ใจที่มีสมาธิ (จิตใจที่สงบ เมตตา กรุณา) ใจที่มีปัญญา (รับรู้ความเป็นจริงที่เกิดขึ้น แล้วปฏิบัติตนได้ถูก นี่คือใจที่ถูกต้อง
    ลองใคร่ครวญดูครับว่าในความถูกต้องนั้น เราถูกต้องทั้งทางกายและใจหรือไม่

โดย Suradet sri


วันศุกร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2555

บางทีใจของเรานั่นเองคือสิ่งที่ยากที่สุด


ความงามบนเส้นทางของชีวิต


ผู้ที่ทำอะไรไม่เคยผิดพลาด…..ไม่มี


ชีวิตเราต้องเดินหน้าต่อไป


คือใคร....???


วันจันทร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

I Believe I Can fly

        ฉันทำได้ ฉันทำได้ และฉันทำได้ นี่คือความหมายของวลีที่ปรากฏอยู่บนหัวเรื่องข้างต้นครับ งานเล็กหรืองานใหญ่ หรือสิ่งใดๆที่เราลงมือกระทำนั้นความยากง่าย อาจมิใช่สิ่งที่สำคัญ สิ่งสำคัญอยู่ที่ว่าเราเชื่อว่ามันจะสำเร็จหรือไม่ ความเชื่อว่า สำเร็จ มันคือใบเบิกทางสำหรับเส้นทางที่เราตั้งเป้าหมายไว้   เพราะเมื่อใจของเราคิดเสียตั้งแต่ต้นว่า " ฉันทำไม่ได้ " เพียงแค่ความคิดนี้ก็ปิดประตู เก็บกระเป๋าแล้ว กลับบ้านไปนอนได้เลยครับ เพราะถ้าขืนทำไปมันก็ไม่สำเร็จหรอกครับ เพราะใจของเราได้ปักธงไปแล้วว่า "ฉันทำไม่ได้" เคยมีผู้กล่าวว่า " เมื่อใจของเรามีศรัทธาว่าทำได้ แม้ย้ายเขาหรือถมทะเลก็ทำได้ " นี่คือพลังแห่งความเชื่อว่า "ฉันทำได้ " ครั้งหนึ่งมีผู้ถาม โทมัส อัลวา เอดิสัน ว่าท่านคิดอย่างไรกับความล้มเหลวนับหมื่นครั้งของการประดิษฐ์หลอดไฟ ท่านตอบว่า "ความล้มเหลวที่เกิดขึ้นก็คือการที่เราเข้าใกล้ความสำเร็จไปอีกขั้นหนึ่ง" นี่คือตัวอย่างหนึ่งของคำว่า " ฉันทำได้ " เพราะใจของ โทมัส อัลวา เอดิสัน คิดอยู่เพียงอย่างเดียวว่าหลอดไฟที่ท่านกำลังประดิาฐ์อยู่นั้นมันจะสำเร็จเข้าสักวันหนึ่ง...นั่นเอง

       อีกประการหนึ่งความคิดที่ว่า " ฉันทำได้  " มีจุดที่เราต้องคำนึงไว้เสมอ นั่นคือสิ่งที่ทำนั้นต้องมีความเป็นไปได้ มิใช่เราลงมือทำในสิ่งที่ไม่มีโอกาสที่จะเป็นไปไปได้เลย สิ่งนี้เรียกว่าการเสียเวลาครับ กลับไปทำในสิ่งที่เราทำได้ มีความสามารถ ถ้าจำเป็นที่ต้องเรียนรู้เพิ่มเติม ก็เรียนรู้แล้วนำกลับมาปรับใช้ในงานของเรา สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งใจเราต้องแฝงไว้ด้วยความอดทน อดกลั้น ต่อเส้นทางที่เราเดิน มีความมานะและพยายามต่อสิ่งที่เรากระทำ และสำคัญที่สุดต้องมีศรัทธาว่าสิ่งที่ฉันกำลังทำอยู่นี้จะสำเร็จสักวันหนึ่ง แม้ว่ามันจะนานเท่าใดเพราะว่า ฉันทำได้ ครับ
โดย Suradet sri
     

วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

มรณานุสติ


       ผมคิดว่าหลายๆท่านคงไม่ได้อยากที่จะได้ยินคำว่า มรณาหรือตาย เวลาที่เปล่งออกมาเหมือนกับว่าเรากำลังแช่งชักหักกระดูกตนเอง แต่ในความเป็นจริงแล้วชีวิตของเราอยู่ใกล้กับความตายอยู่ทุกขณะ เพียงแต่ว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้น แล้วเหตุอันใดเล่าที่เราจะไม่นำมาเตือนสติตนเองให้เรู้จักทำความดี ทำสิ่งที่อยากทำ ทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด บอกรักกับคนที่เรารัก หรือสิ่งอื่นๆที่เราทำแล้วมีความสุข ทำแล้วเกิดประโยชน์ต่อเพื่อนร่วมโลกของเรา เพราะอันที่จริงแล้วการเจริญมรณสติคือการที่เราไม่ประมาทกับชีวิต เพราะเราไม่สามารถบอกได้ว่าใครๆที่อยู่รอบข้างของเรา หรือแม้แต่ตัวเราจะมีเวลาเท่าไหร่บนโลกนี้ มีแต่สิ่งที่เราทำหรือความดีที่เราทำนั่นคือสิ่งที่จะประดับไว้บนโลกนี้ ส่วนตัวของเราก็จะกลับสู่ธรรมชาติที่ได้ให้กำเนิดเรามา หลายท่านคงรู้จัก สตีฟ จอบส์ พ่อมดแห่งวงการคอมพิวเตอร์ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วได้กล่าวว่า
ถ้าเราสามารถใช้เวลาว่าวันนี้คือวันสุดท้ายของชีวิต วันหนึ่งคุณจะสมหวังในสิ่งที่เราปราถนา เมื่อตื่นเช้ามามองกระจก ก็จงถามกับตนเองดูเสียว่า ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายในชีวิต เราอยากที่จะทำอะไร และวันนี้เราจะทำอะไร ถ้าหากว่าเราได้คำตอบว่า ไม่อยากที่จะทำอะไรเลยหลายวันติดต่อกัน เราต้องคิดว่าถึงเวลาแล้วหรือไม่ที่เราจะต้องเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างในชีวิต
นี่คือสิ่งที่พ่อมดแห่งวงการคอมพิวเตอร์ได้คิดไตร่ตรองอยู่ทุกวัน จนถึงทุกวันนี้ชื่อของเขาได้ประทับอยู่บนทุกอณูของวงการคอมพิวเตอร์ แล้วจะไม่หันกลับมามองหรือเจริญมรณสติดูบ้างหรือ เพราะนี่ไม่ใช่การแช่งตนเอง แต่สิ่งนี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ค้นพบสิ่งที่เราหามาทั้งชีวิตก็ได้ครับ สมดังคำที่ว่าความตายสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิต............


การคิดบวก


     ในกระบวนการคิดเวลาเราพบปัญหาหรือความยุ่งยากและสับสน เรามักมีคำๆหนึ่งเกิดขึ้นมานั่นคือการคิดบวก คิดบวก และคิดบวก เพื่อให้ชีวิตของเราสามารถผ่านช่วงวิกฤติในชีวิตนี้ให้ได้ แต่แท้จริงแล้วการคิดบวกคืออะไรกันแน่ การคิดที่เรียกว่าคิดบวกที่เราคิดอยู่ทุกวันนี้ถูกต้องหรือไม่ แนวคิดในการคิดบวกผมได้บทความของท่านว.วชิรเมธี ในเรื่องการคิดบวก ท่านให้แง่คิดการคิดบวกไว้ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 เป็นการมองสิ่งต่างๆตามความเป็นจริง แล้วพยายามแก้ปัญหาบนพื้นฐานของความเป็นจริงให้ได้อย่างถึงที่สุดก่อน แต่ถ้าพยายามทุกวิธีแล้วยังไม่สมารถแก้ปัญหาได้เลย ก็ต้องมาสู่ขั้นที่ 2 นั่นคือเริ่มใช้การคิดบวกกับเหตุการณ์ข้างหน้า
ขั้นตอนที่ 2 เมื่อพยายามแก้ปัญหาตามความเป็นจริงจนสุดความสามารถแล้ว แต่พบว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้านั้นใหญ่เกินกว่าที่จะแก้อะไรได้ แทนที่เรายอมจำนน หรือยอมรับสภาพต่อสิ่งที่เกิดขึ้นแบบหมดอาลัยตายอยาก เราควรที่จะลุกขึ้น และปรับวิธีคิด และมุมมอง
ใหม่ของเรา เพื่อที่จะเผชิญความจริงอย่างสร้างสรรค์ ง่ายๆก็คือ หาวิธีเผชิญปัญหาเดิมๆ ด้วยวิธีการในการรับมือแบบใหม่ ด้วยมุมมองใหม่ ด้วยท่าทีใหม่
     นั่นคือการคิดบวกจึงไม่ใช่ว่าเจอปัญหาอะไรมาก็คิดบวกเสียไปทุกอย่าง แต่ที่ถูกต้องต้องทำทั้งสองขั้นตอนนี้ให้ครบถ้วนเสียก่อน โดยสิ่งสำคัญที่สุดคือต้องมีปัญญาเป็นตัวกำกับในการแก้ปัญหา ท่านว.วชิรเมธีได้ยกตัวอย่างการคิดบวกแบบสิ้นคิดคือมิได้ใช้ปัญญากำกับในการแก้ปัญหา เช่นเมื่อเจอน้ำท่วมก็คิดว่าดีแล้วได้ฝึกอยู่กับน้ำ เจอคำด่าก็ดีแล้วที่ได้ฝึกความอดทน อย่างนี้ท่านเรียกว่าสิ้นคิด
     เมื่อมีตัวอย่างแบบสิ้นคิด ก็ต้องมีแบบการใช้ปัญญา หลายท่านคงรู้จักโทมัส อัลวา เอดิสันน่ะครับ ท่านบอกไว้ว่า ข้าพเจ้าไม่เคยคิดว่าตัวเองล้มเหลว แต่ข้าพเจ้าคิดว่าข้าพเจ้ากำลังเรียนรู้ทุกๆครั้งจากความล้มเหลว หรือจากการที่สตีฟ จ๊อบส์ ถูกไล่ออกจากแอปเปิล เค้าก็คิดว่าการที่ถูกไล่ออกครั้งนี้ คือการได้เริ่มต้นใหม่ เป็นคนใหม่ เป็นมือใหม่ในการที่จะพัฒนาสิ่งต่างๆได้อย่างสร้างสรรค์มากขึ้นเป็นต้น
     ดังนั้นการคิดบวกจึงมิใช่การยอมจำนน แต่เป็นการอยู่กับความเป็นจริง และใช้ปัญญาในการคิดเพื่อนำไปสู่หนทางที่ดีกว่าครับ


วันเสาร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2555

เจ้านายกับลูกน้อง

           มีเพื่อนใน Facebook ถามผมในทำนองว่าเมื่อไม่ชอบใจ หรือรู้สึกไม่ดีต่อหัวหน้างานจะทำอย่างไร คำถามนี้ผมคิดว่าหลายท่านคงมีประสบการณ์กันไม่มากก็น้อยขึ้นกับว่าเราเปลี่ยนงานบ่อยแค่ไหน การเปลี่ยนงานซึ้งเกิดจากการขัดแย้ง หลายครั้งเราอาจแก้ปัญหาของความรู้สึกที่ไม่ดีต่อหัวหน้าด้วยการลาออก เมื่อพบหัวหน้าที่ไม่ชอบอีกก็ลาออก ลาออก ลาออก ผมคิดว่าเราควรหันเข้าหาหลักความจริงข้อหนึ่งครับนั่นคือ เราสามารถเลือกงานได้ แต่เราเลือกหัวหน้าไม่ได้ครับ หัวหน้าที่เราพบอาจมีคุณลักษณะที่ไม่ต้องตาต้องใจเรา แต่นั่นก็ไม่ใช่ว่าเค้าจะไม่มีส่วนดี สิ่งสำคัญลองหาส่วนที่ดีเค้าครับว่ามีอะไรบ้าง เพราะการที่เราจะทำงานร่วมกันนั้นสิ่งสำคัญคือถ้อยทีถ้อยอาศัยกันครับ หนักนิดเบาหน่อยอาจต้องให้อภัยกัน ในฐานะผู้ปฏิบัติเราก็ต้องมาดูว่าอะไรคือบทบาทหน้าที่ ที่เราต้องทำแล้วเราทำได้ดีหรือไม่ ผมมีความเชื่ออย่างหนึ่งว่าถ้าตัวเราได้ทำหน้าที่ของเราได้ดีแล้ว เราก็ไม่ต้องกลัวอะไร เพราะความดีที่เราได้ทำไว้จะเป็นเกราะที่ป้องกันสิ่งไม่ดีต่างๆ แม้หัวหน้าที่เป็นสายตรงของเราไม่ค่อยสนับสนุนด้วยเหตุผลใดๆก็ตาม แต่คนภายนอก คนรอบข้างย่อมรู้ ย่อมเห็นในความดีที่เราได้ทำไว้สิ่งที่ผมกล่าวมานี้มิใช่ว่าจะสนับสนุนหัวหน้าที่ไม่ดีกับลูกน้องน่ะครับ ผมก็ต่อต้านเหมือนกัน แต่ทว่าเราต้องสำรวจตนเองก่อนครับว่าถ้าเราทำอย่างนั้นผลจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ถ้าในระบบเอกชนอาจสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ แต่ระบบราชการผมคิดว่ายากครับ ผมจึงอยากบอกว่าอย่าให้อคติหรือความเป็นตัวเรามาบดบังความจริงที่เกิดขึ้น เพราะยิ่งเราไม่ชอบหัวหน้างาน แล้วยังทำงานของเราไม่เต็มที่คนที่ลำบากอาจต้องเป็นตัวเราครับ  ดังนั้นรับผิดชอบงานของเราให้ดีที่สุด ถ้าเป็นไปได้ลองพูดคุยแล้วลองสังเกตว่ามีช่องทางไหนบ้างที่เราจะช่วยเหลืองานของหัวหน้า ผมคิดว่าหัวหน้าทุกคนชอบที่จะให้ลูกน้องเสนอตัวขึ้นมาช่วยงาน ได้พูดคุยกัน ผมคิดว่าบรรยากาศการทำงานน่าที่จะดีขึ้นครับ ในการนี้ผมขออัญเชิญพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาศึกษาครับ


คนที่เป็นผู้ใหญ่นั้น เขามีประสบการณ์
ส่วนคนหนุ่มสาวเขามีพลังแรง ทั้งร่างกายและความคิด
ถ้าหากมาปรองดองสมัครสมานกัน ทำงานอย่างพร้อมเพรียง
ไม่ผิดใจไม่แคลงใจกัน การบ้านการเมืองจะดำเนินไปได้ด้วยดี


ยามเช้าแสนสดใส

ยามเช้าคือ วันอันแสนสดใสที่ความรู้สึกดีได้เริ่มต้นใหม่
ยามเช้าคือ วันใหม่ที่เราได้เริ่มต้นของชีวิตที่จะก้าวไปสู่สิ่งที่ดีกว่า
ยามเช้าคือ วันที่เราได้ทบทวนเมื่อวานว่าเรายังไม่ได้ทำสิ่งใด
ยามเช้าคือ วันที่เราตื่นขึ้นมาได้พบกับคนที่เรารักและห่วงใย
ยามเช้าคือ วันที่เราบอกตัวเองว่าวันนี้ฉันจะสู้ไม่ว่าจะลำบากแค่ไหน
ยามเช้าคือ วันที่เราได้ยืนตรงเคารพชาติ ศาสนา พระมหากษัติย์ อีก
ยามเช้าคือ วันที่มอบความปราถนาดี ความรักให้แก่เพื่อนมนุษย์
ยามเช้าคือ วันที่ได้เป็นคนดีของครอบครัว สังคม ประเทศชาติ
ยามเช้าคือ................................................................................


วันศุกร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2555

ความฝัน

          สำหรับปู่ซ่าบ้าพลังผมคิดว่าหลายๆท่านคงได้ดูกันมาบ้างแล้วครับ หนังเรื่องนี้อาจบอกกับเราว่า ไม่ว่าเราจะอยู่ในวัยใดความฝันย่อมเป็นไปได้เสมอ ขอให้มีเพียงความมุ่งมั่นและซื่อสัตย์ต่อความฝันของเรา หลายคนอาจจะเคยละทิ้งความฝันของตนเองในวัยเยาว์ ฝันว่าอย่างเป็นนั่น ฝันว่าอยากเป็นนี่ ผมก็เคยมีความฝันเช่นกัน ฝันไว้ว่าอยากเป็นทหาร อยากเข้าเรียนต่อในโรงเรียนนายร้อย จปร. แต่ฝันนั้นก็ดับเพราะสายตาสั้นตอนอยู่ ป.6 แต่คนเราก็ต้องเดินหน้าต่อไปใช่ไหมครับ ซึ่งอยากน้อยตอนนี้ผมก็ได้เป็นทหารครับ คือทหารที่คอยต่อสู้กับเชื้อโรคคือนักเทคนิคการแพทย์  ดังนั้นแล้วแม้ความฝันของเรายังไม่สมความปราถนาในตอนนี้ แต่มันก็ไม่ใช่ว่าจะไม่สามารถเป็นไปได้ในอนาคตอยู่ที่ตัวเราเท่านั้นครับว่าเรายังคงหล่อเลี้ยงความฝันนั้นไว้หรือปล่อยให้มันลอยหายออกไปตามกาลเวลา เราเท่านั้นครับที่เป็นคนตัดสินใจ

ความฝันแม้ฝันแล้วยังเป็นไปไม่ได้
ก็ไม่ใช่ว่าความฝันนั้นจะดับ
จงหล่อเลี้ยงมันไว้เพื่อรอ
รอโอกาสที่ซักวันหนึ่ง
ฝันของเราวันนี้จะเป็นความจริง
เพราะความฝันนั้นช่วยหล่อเลี้ยงชีวิตเราให้ถึงฝัน


แพ้ชนะ ไม่ใช่สิ่งสำคัญ

คนเราทุกคนอยากเกิดมาแล้วชนะด้วยกันทั้งนั้น
เพราะชนะแล้วย่อมที่จะได้ในสิ่งที่เรามุ่งหวังตั้งใจไว้
แต่โลกแห่งชีวิตจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่
เพราะคนเราไม่สามารถชนะได้ตลอดเวลา
ย่อมที่จะมีแพ้ มีชนะสลับกันไป ไม่มีใครแพ้หรือชนะตลอดกาล
ดังนั้นเมื่อชนะแล้วก็อย่าได้ทะนงตนเอง ว่าสิ่งที่ตนได้รับจะยั่งยืน
เพราะทุกสิ่งในโลกย่อมที่จะเปลี่ยนแปลงเสมอ 
ดังนั้นเราอย่าประมาทกับสิ่งที่เราได้รับมา
ส่วนการพ่ายแพ้ก็มิใช่สิ่งเลวร้ายตามความคิดของหลายๆคน
แต่การพ่ายแพ้คือโอกาสที่เราจะได้หันกลับมาปรับปรุงตนเอง
เพื่อให้สามารถก้าวไปในจุดที่สูงกว่า เพราะความพ่ายแพ้คือหินรองก้าว
ที่ทำให้เราก้าวต่อไปข้างหน้า เหมือนกับผู้ยิ่งใหญ่ทุกคนบนโลกนี้



วันจันทร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2555

โลกใบนี้ไม่มีความสมบูรณ์แบบ

ความสมบูรณ์แบบไม่มีในโลกนี้ ถ้าจะหาก็คงหาไม่เจอ
โลกของเราทุกวันนี้พัฒนาขึ้นมา ก็มาจากความไม่สมบูรณ์แบบ
คนที่ไม่สมบูรณ์แบบพร้อมที่จะพัฒนา และทำความฝันให้เป็นจริง
หลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นบนโลกนี้ก็มาจากความไม่สมบูรณ์
ต่างจากคนสมบูรณ์แบบที่รอให้ทุกอย่างพร้อมจึงจะลงมือทำ   แต่นั่นก็สายไปเสียแล้ว เพราะ เวลา โอกาสได้ผ่านไปแล้ว
ถ้าจะเหลือก็เหลือแต่ตัวเราที่ ปล่อยให้ทุกสิ่งหลุดมือไป...............